เมนู

อนาปัตติวาร


[566] ภิกษุอยู่ในอารามมองเห็น 1 กองทัพยกผ่านมายังสถานที่ภิกษุ
ยืนนั่ง หรือนอน เธอมองเห็น 1 ภิกษุเดินสวนทางไปพบเข้า 1 มีเหตุจำเป็น
1 มีอันตราย 1 ภิกษุวิกลจริต 1 ภิกษุอาทิกัมมิกะ 1 ไม่ต้องอาบัติแล.
อเจลกวรรค สิกขาบทที่ 8 จบ

อุยยุตตสิกขาบทที่ 8


ในสิกขาบทที่ 8 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-

[ว่าด้วยกองทัพ 4 เหล่าสมัยโบราณ]


บทว่า อพฺภุยยาโต คือ ทรงยกกองทัพออกไป, มีใจความว่า
เคลื่อนกองทัพออกไปจากพระนคร ด้วยตั้งพระทัยว่า เราจักไปประจัญหน้า
ข้าศึก.
บทว่า อุยฺยุตฺตํ ได้แก่ กองทัพที่ทำการยกออกไปแล้ว, มีใจความว่า
กองทัพที่เคลื่อนออกจากหมู่บ้านไปแล้ว.
สองบทว่า ทฺวาทสปุริโส หตฺถี มีความว่า ช้าง 1 เชือก มีทหาร
ประจำ 12 คน อย่างนี้ คือ พลขับขี่ 4 คน, พลรักษาประจำ เท้าช้างเท้าละ
2 คน.
สองบทว่า ติปุริโส อสฺโส มีความว่า ม้า 1 ม้า มีทหารประจำ
3 คน อย่างนี้ คือ พลขับขี่ 1 คน. พลรักษาประจำเท้า 2 คน.

สองบทว่า จตุปฺปุริโส รโถ มีความว่า รถ 1 คัน มีทหาร
ประจำ 4 คน อย่างนี้ คือ สารถี (พลขับ) 1 คน นักรบ (นายทหาร) 1
พลรักษาสลักเพลา 2 คน.
ข้อว่า จตฺตาโร ปุริสา สรหตฺถา ได้แก่ พลเดินเท้า มีพล
อย่างนี้ คือ ทหารถืออาวุธครบมือ 4 คน. กองทัพประกอบด้วยองค์ 4 นี้
โดยกำหนดอย่างต่ำ ชื่อว่า เสนา. เมื่อไปดูเสนาเช่นนี้ เป็นทุกกฏ ทุก ๆ
ย่างเท้า.
สองบทว่า ทสฺสนูปจารํ วิชหิตฺวา มีความว่า กองทัพถูกอะไร
บังไว้ หรือว่า ลงสู่ที่ลุ่ม มองไม่เห็น, คือ ภิกษุยืนในที่นี้แล้วไม่อาจมองเห็น
เพราะเหตุนั้น เมื่อภิกษุไปยังสถานที่อื่นดู เป็นปาจิตตีย์ ทุก ๆ ประโยค.
บทว่า เอกเมกํ มีความว่า บรรดาองค์ 4 มีช้างเป็นต้น แต่ละองค์ ๆ
ชั้นที่สุดช้าง 1 เชือกมีพลขับ 1 คนก็ดี พลเดินเท้าอาวุธ 1 คนก็ดี. พระราชา
ชื่อว่าไม่ได้เสด็จยาตราทัพ เสด็จไปประพาสพระราชอุทยานหรือแม่น้ำ อย่างนี้
ชื่อว่า ไม่ได้ทรงยาตราทัพ.
บทว่า อาปทาสุ มีความว่า เมื่อมีอันตรายแห่งชีวิต และอันตราย
แห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ ไปด้วยคิดว่า เราไปในกองทัพนี้
จักพ้นไปได้. บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐานเหมือนเอฬกโลมสิกขาบท เป็นกิริยา
โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต มีเวทนา 3
ดังนี้แล.
อุยยุตตสิกขาบทที่ 8 จบ

อเจลกวรรค สิกขาบทที่ 9


เรื่องพระฉัพพัคคีย์


[567] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น พระ-
ฉัพพัคคีย์มีกิจจำเป็นเดินผ่านกองทัพไป แล้วแรมคืนอยู่ในกองทัพ 3 ราตรี
ประชาชนพากันเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระ-
ศากยบุตรจึงได้พักแรมอยู่ในกองทัพเล่า มิใช่ลาภของพวกเรา แม้พวกเราที่มา
อยู่ในกองทัพ เพราะเหตุแห่งอาชีพ เพราะเหตุแห่งบุตรภรรยา ก็ได้ไม่ดีแล้ว
ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนเหล่านั้นเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาอยู่
บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ...ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่าไฉนพระฉัพพัคคีย์
จึงได้พักแรมอยู่ในกองทัพเกิน 3 ราตรีเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี-
พระภาคเจ้า . . .

ทรงสอบถาม


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่า พวกเธอพักแรมอยู่ในกองทัพเกิน 3 ราตรี จริงหรือ.
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท


พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลายไฉน
พวกเธอจึงได้พักแรมอยู่ในกองทัพเกิน 3 ราตรีเล่า การกระทำของพวกเธอนั่น
ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .